บ้าน ‘น้ำฝน กุลณัฐ’ จำใจให้ สามีมีภรรยาเพิ่ม 10 คน ก่อนพูดสาเหตุไม่ ได้อยู่ในไทย

Author:

ชีวิตคนมันสั้นอยากทำอะไรให้รีบทำ น้ำฝน กุลณัฐ ที่ได้มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ Club Friday Show ผลิตโดย CHANGE2561 ได้กล่าวไว้พร้อมยังได้เปิดเรื่องหัวใจหมดเปลือก ในทุกเรื่องราวความรักในชีวิตที่ผ่านมาของตัวเองที่ไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อนแต่อุ่นใจที่จะเล่าที่นี่ ทั้งความรักที่คิดว่าใช่แต่งแน่คนนี้ แต่อยู่ ๆ โดนบอกเลิกแบบฟ้าผ่า พอได้เจอความรักกับพระเอกรุ่นน้องที่อายุห่างกัน 6 ปี ก็อึดอัดจนไปไม่รอด ตัดสินใจโบกมือลาผู้ชายไทยหันไปมองผู้ชายต่างชาติ รอจนเกือบท้อสุดท้ายฟ้าก็ประทานรักแท้มาให้ แต่กว่าจะรักก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ

กับความรักครั้งหนึ่งที่ขนาดมีปัญหาแต่ก็ยังครบยาวมาเกือบ ๆ 5 ปี ?

น้ำฝน กุลณัฐ : เกือบ ๆ 5 ปีค่ะ จริงๆมีปัญหากันมาตั้งแต่ 6 เดือนแรกที่เราคบกันเลย จนถึงวันที่เลิกกันแล้วก็ได้มานั่งคุยกันแล้วเขาพูดกับเราว่าเขาอึดอัด แล้วเขาก็พูด ๆ ออกเราก็ อืม… แล้วก็มากำหนดอีก นั่งคิดอีกว่าเราไปทำให้เขาอึดอัดหรือเปล่า

แต่เพราะว่าเราเป็นคนในวงการแล้วก็เป็นอีกคู่ที่ทุกคนเชียร์ ว่าในที่สุดคู่นี้น่าจะเป็นคู่ที่ใช้ชีวิตด้วยกัน คราวนี้พอเลิกกันก็เลยกลายเป็นประเด็นข่าวใหญ่ ?

น้ำฝน กุลณัฐ : เรื่องประเด็นข่าวจะต้องอธิบายให้เข้าใจนิดหนึ่งว่า ฝนเลิกกับเขาตั้งแต่ 5 กุมภาพันธ์ เพราะว่าเราจะมีงานสุดท้ายด้วยกันคือ วันวาเลนไทน์ แต่วันที่เราเลิกกันคือเราคุยกันอยู่ดี ๆ แล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า เลิกกันเถอะ มันเหมือนกับเขาทำสิ่งหนึ่งแล้วเราบอกว่าไหนบอกว่าจะไม่ทำแล้วไง เหมือนเราไปจำเขาได้ในสิ่งที่เขาไปทำแล้ว เขาก็เลิกกันเถอะฝน (อันนี้ช็อกของแท้เลย) แล้วเขาเป็นคนที่ไม่เคยพูด เราก็บอกว่าเดี๋ยวก่อน เดี๋ยวขอตั้งสตินิดนึง เราก็หาเหตุผล เขาก็บอกเราว่าเขาอึดอัด เขาไม่ไหวแล้ว เขาไม่มีความสุข แล้วจากวันที่เขาบอกเลิกเราคือ เขาก็เดินออกจากชีวิตเราไปเลย คือ เลิกเลย หลังจากนั้นสองสามวันเขาก็โทรกลับมาร้องไห้ ร้องไห้เหมือนเด็กเลย แล้วเขาก็บอกเราว่าเขารู้ว่าสิ่งที่เขาตัดสินใจไปเนี่ย คือ เขาพลาดมาก เขาพูดว่า ฉันรู้ว่าในอนาคตฉันต้องเสียใจกับสิ่งที่ฉันทำ แต่ฉันอยู่ไม่ได้แล้ว

ตอนนั้นเราก็พูดว่า ก็กลับมาสิ มาคุยกัน เขาก็บอกเราว่าฉันอยู่ไม่ได้แล้ว นิสัยเขา เขาเป็นคนที่ทำอะไรตามใจเขา ฝนคิดว่า เพราะฉะนั้นเขาต้องตามหัวใจเขาว่าเขาอยากได้อะไร ต้องการอะไร (เสร็จแล้วเราก็บอกว่ายังเหลืองานอีกงานหนึ่งนะ 14 กุมภาพันธ์) มันก็ต้องไปเจอวันนั้น ซึ่ง 1 อาทิตย์ที่เขาออกจากบ้านไป มันเหมือนแบบเราก็เสียใจมาก นอนไม่หลับตื่นตีสอง ตื่นตีสาม กินข้าวไม่ได้ ก็ไปหาหมอ หมอเขาก็ถามเราว่าเป็นอะไรเ ราก็บอกว่าเดี๋ยวหนูต้องเป็นโรคกระเพาะ เพราะว่าเรากินข้าวไม่ได้ นอนไม่ได้ ต้องเป็นโรคกระเพาะแน่ ๆ เพราะว่ามันเครียดมาก หมอก็งง ๆ แต่ก็ให้ยามา ก็ดูแลตัวเองไป ถามว่าร้องไห้ไหม ร้องจนแบบเพราะเราเสียใจมาก แต่ว่ามันก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นค่ะ

อาทิตย์แรกโหดสุดเราปล่อยอารมณ์ของเราไปเลยว่า ไปให้สุดไม่ต้องไปกั๊กมันเป็นความคิดของตัวเองว่าเวลาที่เราอกหัก หรือเวลาที่เราเครียดไม่ควรกินเหล้า สอง แฮงก์ ปวดหัวอีก เสียใจอีก นอนไม่พออีก เราก็พักฟื้นตัวเองไปเรื่อย ๆ มันก็ค่อย ๆ ดีขึ้น เราก็อยู่กับความเศร้าของมันจนเต็มอิ่มแล้ว แล้วพอถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่เราต้องไปร่วมงานด้วยกัน วันที่เขาตัดสินใจเข้ามาพูดกับเราว่า ฉันว่าเราบอกนักข่าวเถอะ เขาพูดประโยคนี้มา เราก็ถามว่าเธอแน่ใจนะ เขาก็บอกว่าแน่ใจ (อยากจะเล่าเรื่องหนึ่งเรื่องนี้ไม่เคยเล่าที่ไหน) ด้วยความที่เราอยากได้เขากลับมามาก เราก็ไปหาหมอดูหลังจากเจ็ดวันที่เราร้องไห้ฟูมฟายแล้วนะ (อันนี้มันผ่านมา 10 ปีแล้วเล่าไปเถอะมันขำดี) (หัวเราะ) เพื่อนก็เรียกหมอดูมา แล้วเราก็บอกว่าทำยังไงอยากได้เขากลับมา

หมอก็แบบ (คือ ดวงมันคงไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว) เขาก็แบบจะเอาคนนี้เหรอ ๆ หมอเขาก็ไปปลุกเสกมะนาวมาให้ลูกหนึ่ง แล้วเขาก็บอกว่าตอนสัมภาษณ์ก็ให้กำเอาไว้นะ แล้วเรานั้นคือเราต้องเดินแบบด้วยเราก็คิดว่าจะกำมะนาวยังไง คือเพราะว่าเดินแบบเสร็จเราก็ต้องสัมภาษณ์เลย เพื่อนก็รักเรามาก็มาส่งมะนาวให้แล้วพอดีชุดที่เราใส่เป็นกางเกง ตอนยืนสัมภาษณ์อยู่กำมะนาวอยู่ตลอด นักข่าวก็สัมภาษณ์ว่าเป็นยังไงบ้างได้ข่าวว่าจะแต่งงานกัน แล้วผู้ชายก็ตอบว่า เราเลิกกันแล้วครับ (คือ ตอนนั้นเราบีบมะนาวจนจะเป็นน้ำอยู่แล้ว) (หัวเราะ) แบบโมโหมาก มะนาวไม่ช่วยอะไร (แต่คือ ตอนนั้นนักข่าวก็งงว่าทำไมเราไม่เศร้าเลย เพราะว่าเรามัวแต่เอาใจไปที่มะนาวเราเลยขำ) แล้วพอหลังจากบอกกันเสร็จตัวผู้ชายเขาเดินไปร้องไห้อยู่ข้างหลัง แต่เราเดินขึ้นรถไปเหมือนไม่มีอะไรคนก็เลยเข้าใจคิดว่าเราบอกเลิกเขา

น้ำฝน กุลณัฐ : ส่วนความรักอีกครั้งของฝน คือ น้องเขาเป็นเด็กใหม่เพิ่งเข้ามาในวงการ เราได้สัมภาษณ์แล้วว่าเขาก็ยังไม่เคยมีแฟนเป็นดาราคนไหนเราก็เลยแบบลองดู (ถามว่าเขามาจีบไหม) คือ เราไม่ได้เล่นละครด้วยกันนะคะ แต่เจอกันครั้งแรกที่กองถ่าย เพราะว่าเขาเป็นเด็กใหม่เหมือนมาดูงานแค่นั้นจบ เสร็จแล้วไปเจอกันอีกทีก็เหมือนเป็นปาร์ตี้บริษัท เพื่อนก็ผลักเราก็ลองดูคบเด็กอายุเรากับเขาห่างกัน 6 ปี

ใครเริ่มก้าวแรกก่อน ?

น้ำฝน กุลณัฐ : น่าจะไปพร้อม ๆ กันเพราะว่าเราว่าง เราโสดแล้วส่วนเขา .. ฝนก็คิดว่าเขาก็เด็กเขาก็ไม่ได้คิดอะไร (ถามว่าตอนไหนที่เราคิดว่าเราจะคบคนนี้อย่างเป็นทางการแล้ว) เอาจริง ๆ นะคะ คนนี้เราไม่ได้รู้สึกว่า คนนี้แหละ แต่มันเหมือนกับเขาเข้ามาในจังหวะที่ค่อนข้างที่จะเข้ามาต่อเร็ว แบบไม่นาน ไม่ถึงปีอะไรอย่างนี้ ทำให้เรารู้สึกว่ามันจูนกันได้ มันคุยกันได้ มันก็เลยเหมือนตามน้ำไปเรื่อย ๆ มารู้สึกตัวอีกทีก็ 6 เดือนแล้ว หนึ่งปีแล้ว

ด้วยความที่อายุต่างกันมีผลไหมที่เราเริ่มเข้าไปเหมือนล้ำเส้นบางอย่างของเขา ?

น้ำฝน กุลณัฐ : เอาจริง ๆ นะคะ ตอนนั้นไม่รู้ แต่พอที่เราสองคนคบกันแล้วเขาก็ดังมาก แล้วพอเขาดังมากแล้วบวกกันนิสัยของเขาเป็นคนที่อยากทำอะไรก็ทำเป็นคนที่ตามใจตัวเอง ด้วยความที่เราอยู่ในวงการมานานเราก็เหมือนเราถูกผู้ใหญ่สอนมาเยอะค่ะ มันก็เลยเอาสิ่งที่เรารู้ไปบอกเขาว่าทำแบบนี้สิ ทำแบบนั้นสิ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมันไปทำให้เขาอึดอัดหรือเปล่า เพราะมันคือความหวังดีเพราะการที่เราจะอยู่ในวงการ เราต้องทำตัวแบบไหน (แต่ตอนนั้นเราคงเขาไปจู้จี้ชีวิตของเขา) แต่ถ้าถามว่าเราเป็นคนจู้จี้ไหมเราเป็นคนชอบจัดการดีกว่าค่ะ แต่ไม่ได้ถึงขนาดแบบใส่อันนี้สิ อันนั้นสิ คือไม่ได้ขนาดนั้น เราก็แค่แบบต้องตั้งนาฬิกาปลุกนะ เธอต้องไปออกกำลังกายนะ ทำไมถึงใส่เสื้อผ้าแบบนี้ เราก็พาไปซื้อเสื้อผ้า ถึงเวลาสัมภาษณ์จะได้ดูดี ถึงเวลาสัมภาษณ์ต้องพูดแบบนี้นะ เหมือนกับเขายังใหม่มากค่ะ เราก็หวังดีเพราะว่าเขาเป็นพระเอก

แต่ในมุมของเขาคือ เขาไม่ต้องการ เลยทำให้เราทะเลาะกันบ่อยด้วยอะไรหลาย ๆ อย่างจุกจิก ๆ แต่ไม่ได้ไปทะเลาะในเรื่องที่ให้เขาทำอะไรนะคะ เพราะเราให้เขาทำอะไรเขาก็ทำนะ แต่เราไม่รู้หรอกว่าไปทำให้เขาอึดอัด แต่มันก็เป็นเส้นบาง ๆ ระหว่างแฟนกับแม่ (เรากลับมาคิดเอง) คือ จะบอกเลยว่าผู้หญิงเราจะมีเส้นบาง ๆ ระหว่างแฟนกับแม่ อย่าข้ามไป คือ เพื่อนคนนี้อีกแล้ว บางทีเราหาคำตอบไม่ได้เราก็เลยถามเพื่อนว่าเธอเคยห้ามแฟนทำโน้นนี่นั่นไหม เพื่อนก็บอกว่าเราว่า พ่อแม่เขายังไม่ห้ามเลย เราเป็นแฟนเราไปห้ามเขาทำไม

พอฟังเสร็จเราก็ .. จริงจะไปห้ามเขาทำไม (แต่เรามารู้ตัวทีหลังนะคะ) ตอนนั้นมันเหมือนกับตอนที่คบกับพระเอก เขาก็แบบปัญหามันเยอะมากแล้วเป็นปัญหาจุกจิก ๆ จนเราไม่ได้มองในมุมกว้าง บวกกับแบบอาจจะความไม่ไว้ใจอะไรหลาย ๆ อย่างมันมีองค์ประกอบรวมเยอะ แต่ที่ทะเลาะกันหนัก ๆ เลยคือ เขาไปเที่ยวกับเพื่อนเราโทรไปไม่รับสายเราก็โทร จนตีสามก็ไม่รับ พอไม่รับสายผู้หญิงมันจะมีความจินตนาการที่เหนือธรรมชาติอยู่ คือ ทำอะไรจนตีห้ารับสาย คือ คืนนั้นเราไม่ได้นอนเลย เราก็ถามว่าเฮ้ย .. คืออะไร เราก็ถามเขา เขาก็บอกว่าเพราะว่ามันเรทเวลา รับเวลาไหนก็ด่าเท่าเดิม (หัวเราะ) พอเขาพูดออกมาแบบนั้นวิธีคิดของเขา แล้วเราก็เป็นสายกำหนดก็จริง อันนี้เลยเป็นประเด็นที่ค่อนข้างหนักหน่วง เพื่อนเขาไม่เข้าใจเรา บางทีเพื่อนเขาเหมือนกับเห็นสิ่งที่เป็นเลยรู้สึกว่าเราไปตีกรอบกักขังเขาไว้เยอะ โดยที่เพื่อนไม่รู้ว่าเรื่องราวเรากับเขามันเกิดอะไรบ้าง

แล้วในที่สุดก็มาเจอความรักสุดท้ายในชีวิต ?

น้ำฝน กุลณัฐ : มันเหมือนกับแบบนอกวงการก็มีแล้ว ในวงการก็มีแล้วเราก็แบบไม่เอาแล้วดีกว่าออกนอกประเทศเลยดีกว่าอะไรอย่างนี้ เป็นความตั้งใจของเราเลยว่าจะไม่เอาผู้ชายไทยแล้ว เพราะตอนนั้นเราก็อายุ 34 แล้ว ซึ่งตอนนั้นเพื่อนเราก็บอกว่าต่างชาติเขาไม่ได้เกี่ยงเรื่องอายุ เราก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นโอกาสที่พอเหมาะที่จะเริ่ม เราก็เอาตัวเราไปในที่ที่ฝรั่งเขาอยู่บวกกับอีกอันหนึ่งคือเพื่อนฝนมีแฟนเป็นฝรั่งเขาก็พยายามหาเพื่อนเขามาให้เรา แต่เราก็ไม่ชอบจนเราโสดมา 1 ปี คิดเลยค่ะ หรือว่ามันต้องโสดแล้วเพราะตอนนั้นค่อนข้างที่เราจะคงที่แล้ว โหยหาไปแล้วเราได้อะไรที่ไม่ดีมาเลยไม่เอาดีกว่าถ้าอยู่คนเดียวได้ก็อยู่คนเดียว

แล้วในชีวิตของเรา เราเคยคิดว่าจะแต่งงานมีลูกหรือเปล่า ?

น้ำฝน กุลณัฐ : ไม่คิดเลยค่ะ เพราะไม่คิดว่าการแต่งงานเป็นฝัน แต่พอเรามาเจอคนที่ใช่ แล้วเราคบกับ จอร์ดอน แล้วมา 5 ปี ซึ่งที่มาเจอคนนี้คือ เราก็เกือบถอดใจแล้วกับความรัก แล้วอยู่ดี ๆ ฟ้าก็ประทานเขาลงมา เขามากับน้องนักแสดงที่เรารู้จักก็อยู่ในร้านอาหารนะคะ เขาก็นั่งอีกโต๊ะหนึ่งแล้วน้องเขาเข้ามาทักเรา แต่เราไม่รู้จริง ๆ ว่าเขามาเป็นแม่สื่อ .. ก็เลยเป็นเหตุให้เขามาทักเรา แต่เราเจอเขาตอนแรกคือ ไม่ชอบเลยเพราะเขาเมามาก แล้วถามเราว่าไปเที่ยวฮ่องกงด้วยกันไหม เราก็แบบทำไมผู้ชายคนนี้เป็นอย่างนี้ (เพราะเขาทำงานฮ่องกง) เขาก็ทักมา แล้วเขาก็ชวนเราออกไปข้างนอก ไปกินข้าว แล้วเขาก็ขอโทษที่วันนั้นเขาเมามาก จนท้ายที่สุดเขาก็บอกเราว่าชวนไปกินข้าวนะไม่ได้ขอแต่งงานทำไมยากขนาดนี้ เราก็จริงเนอะ !! ซึ่งเขาก็บอกว่าออกมาเจอกันถ้าไม่ใช่เราก็เป็นเพื่อนกันได้

ฝนก็ชอบอะไรแฟร์ ๆ อยู่แล้ว เราก็เลยออกไปพอเจอเขาก็ตกใจ เหมือนคนละคนที่เราเจอวันแรกเลยเพราะดูเป็นนักธุรกิจมาดภูมิฐานขนาดนั้น ติดกับก็จนถึงทุกวันนี้ สิ่งที่ชอบในตัวของ จอร์ดอน คือ เขาเป็นคนที่ให้ความสนใจ คือ เราก็ไม่ได้เป็นนักเรียนนอกหรือเรียนศิลป์ภาษา พอเวลาเขาพูดมาคือ เราฟังเขารู้เรื่องแต่เราจะตอบช้า แต่เขาตั้งใจ พยายามเข้าใจจนถึงทุกวันนี้เขาก็ยังเป็นแบบนี้อยู่ พอเราคบกับเขาได้สักพักเราก็บอกที่บ้านว่าเราคบฝรั่งนะ ที่บ้านก็เหมือนกับหน้าตึง ๆ ไปนิดนึง พี่ชายก็บอกอย่าไปอะไรกับเขามากนะ เขาโสดจริงไหมช่วงแรก ๆ เราก็ระแวงนิด ๆ ซึ่งตอนคบกับเขาก็ไม่ได้คิดว่าจะแต่งงานหรือมีลูก แต่เคยคุยกับเขาเรื่องลูก แล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่าเขาไม่เคยจินตนาการว่าเขาไม่มีลูก

น้ำฝน กุลณัฐ : เขา 38 ฝน 34 ร่างกายของฝรั่ง เท่าที่หมอเขาเคยเล่าให้ฟัง คือ 43 หรือ 45 เขาก็สามารถท้องได้ เขาก็เลยยังชิลล์อยู่แล้วบวกเขาเป็นผู้ชายด้วย เขาหาแฟนเด็กกว่า 30 ก็ได้ เขาก็เลยคงไม่ได้คิดเรื่องตรงนั้นแต่พอเขาพูดประโยคนี้ขึ้นมามันเลยทำให้เราแบบยังไงดี ก็ไม่เป็นอะไรคบไปก่อน เขาดูแลเราดีมาก เสมอตันเสมอปลาย ทุกวันนี้เป็นยังไงก็คือเป็นอย่างนั้น จนเคยมีความคิดขึ้นมาว่าเข้าใจแล้วเวลาที่ผู้หญิงที่เราอยากจะแต่งงานกับใครสักคนมันเป็นอย่างไร ฉันว่าตัวฉันอยู่กับเขาได้ก็คือแต่งงานใช่ไหมคะ ซึ่งพอมีโมเมนต์นี้ขึ้นมามันก็ข้ามไปแล้วว่าเราจะแต่งงานหรือเราจะไม่แต่งงาน พอเสร็จปุ๊บ !! แม่ป่วยเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้แบบเคยทะเลาะกับแม่มาหลายครั้งมากเรื่องแต่งงานว่าแบบ.. ตั้งแต่คบกับแฟน 10 ปีแม่ก็อยากให้แต่งงาน จนคบกับแฟนที่มาถึงพระเอกแม่ก็อยากให้แต่งงาน เหตุผลอย่างเดียวเลยที่เขาอยากให้เราแต่งงานคือ เขากลัวเราเหงา เราก็บอกว่าเราจะเหงาได้ยังไงเพราะหลานก็เต็มเลย พี่ชายเราก็มี

คือ เขาเคยพูดประเด็นนี้กับ ฝนกับจอร์ดอน มานานมากทำไมไม่พูดกับเขา ๆ เราก็แบบ ทะเลาะกับเขาแรงมาก ทำไมแม่จะต้องพูดเรื่องนี้ด้วย ฝนเบื่อมาก ฝนดูแลตัวเองได้ดูแลครอบครัว ดูแลแม่ได้แค่นี้น่าจะพอแล้วใช่ไหม ที่เราไม่ไปพูดกับ จอร์ดอน เลยเพราะว่าเราไม่อยากไปทำให้เขาอึดอัด เพราะเราไม่รู้ว่าเขาคิดกับเรายังไง เราก็เลยมีความรู้สึกว่าทำไมเราต้องไปบังคับถ้าในเมื่อมันยังไม่ถึงเวลา แล้วอีกอย่างการแต่งงานมันไม่ใช่แบบ (ร้องไห้) สิ่งสำคัญในชีวิตฝนที่ฝนคิด เราก็ไม่เข้าใจว่าแม่ทำไมต้องเอาสิ่งนี้มาพูดให้เป็นประเด็นอยู่ได้

วันที่แม่ยังแข็งแรงอยู่มีครั้งที่เขาบอกให้เราคุยกับ จอร์ดอน เราก็บอกเขาไปว่าทำไมไม่ไปคุยกับเขาเอง ไม่บอกเขาเอง เพราะเรารู้ว่าแม่พูดกับ จอร์ดอน ไม่ได้ (เพราะว่าเขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้) เราก็บอกให้แม่เลิกพูดเรื่องนี้สักทีได้ไหม แม่อยากจะให้เขาแต่งงานแม่ก็ไปคุยกับเขาเองแล้วกัน แล้วแม่ก็เขียนจดหมายมา 1 ฉบับ เพื่อให้เราไปหาคนแปลให้เขาหน่อย (แต่เราไม่ได้เอาจดหมายไปแปลนะคะ) จอร์ดอน ไม่รู้ แต่ฝนได้อ่านจดหมายที่แม่เขียนนะคะ (แล้วแม่ก็ร้องไห้) ฝนก็แบบถ่ายรูปแม่วันนั้นไว้ด้วย แล้วก็ส่งไปให้เพื่อนดูว่าฉันบาปไหมทำแม่เสียใจ เพราะตอนนั้นเราแค่ไม่อยากไปกดดัน จอร์ดอน เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเขาอยากแต่งกับเราหรือเปล่า แต่เรารู้สึกว่าเราอยู่กับผู้ชายคนนี้ได้

แต่พอวันที่แม่ป่วยคือ ถ้าคนเข้าใจ Stroke จะเหมือนว่ามันคืออุบัติเหตุ คือเดินอยู่ดี ๆ ปึ๊กเดียวพิการ มันเหมือนคุยกับแม่อยู่วันนี้ ตื่นมาแม่พูดไม่ได้ คือมันเลวร้ายมาก แม่หายใจไม่ออกตอนแปดโมงเช้า แล้วเป็นช่วงเวลาที่รถติดมาก พอถึงโรงพยาบาลเครื่องมือก็ไม่ได้พร้อมอันนี้ อันนั้นไม่มี วันนั้นคือ นั้นรถพยาบาลฉุกเฉินถึง 3 คันกว่าที่เราจะไปถึงโรงพยาบาลที่พร้อมทุกอย่าง สิ่งหนึ่งที่ จอร์ดอน เขาดีกับเรามาก แล้วหมอเขาก็แจ้งเราว่าแม่เป็นสมองตีบตรงส่วนกลางนะ ซึ่งมันจะเป็นส่วนที่ควบคุมระบบหายใจทั้งหมด ก็มาลองดู 3 วันถ้าแม่หายใจด้วยตัวเองไม่ได้ก็คือ แม่ไป ตลอด 3 วันนั้นเราก็ไม่ได้นอนเลยนั่งจับมือเขาไว้ตลอด (ร้องไห้) จอร์ดอน คือ ดีมากเขาไม่ทิ้งเราเลย เขามาจับมือแม่ แล้วก็บอกว่าให้ฝนเนี่ยไปกินข้าวนะ เดี๋ยวเขาจับมือแม่ไว้เองซึ่งเขาพูดไทยไม่ได้ แล้วเขาก็จับมือแม่แบบนั้นจนฝนกลับมา

พอเราเห็นแม่อาการดีขึ้น ฝน ก็เลยหันไปถามเขาว่าที่เธอเคยพูดว่าเธออยากจะแต่งงานกับฉัน เธอยังอยากแต่งงานอยู่ไหม เขาก็ตอบว่า อยากแต่งสิ ฝนเลยบอกเขาว่างั้นเราแต่งกันเร็วหน่อยได้ไหม ฉันอยากให้แม่ไปงานแต่งงานฉัน ฤกษ์ดีคือ 26 เมษายน แต่วันนั้นคือ โรงแรมไม่ว่างเราก็เลยจัดพิธีถือเคล็ดที่บ้านไปก่อน โดยมีการทำบุญตักบาตร รดน้ำสังข์ ซึ่งจัดพิธีแต่งจริง ๆ คือ 23 พฤษภาคม เพราะว่าโรงแรมว่างวันนั้น

น้ำฝน กุลณัฐ : วันแต่งงานคือเป็นวันแต่งงาน after party นี่แบบไม่มี เพราะว่าเราต้องอยู่กับแม่ตลอด ทุกคนก็แบบทำไมมันรวดเร็วมากแต่งงานอะไรอย่างนี้ ตอนนั้น แม่ยังรับรู้อยู่ ฝนมั่นใจเพราะว่าเขายังนอน ๆ อยู่ร้องไห้เขาก็พูดขึ้นมาว่าเขาอยากตาย แล้ววันที่เราแต่งก็คือวันที่คุณแม่ร้องไห้ก็ขอให้เขายังจำได้อยู่ ซึ่งเขาก็อยากให้เราแต่งงาน อยากให้เรามีลูก เราก็รีบมีลูกเล

วันนี้มีครอบครัวที่อบอุ่นแล้ว เราอยากจะบอกอะไรกับคุณแม่บ้าง ?

น้ำฝน กุลณัฐ : อยากจะบอกว่าความจริงน่าจะฟังแม่ตั้งแต่แรกเนอะจะได้มีลูกเร็ว ๆ (หัวเราะ) เขาก็ยังได้เล่นกับหลานมากกว่านี้ มันมีเรื่องเศร้าอีกอันหนึ่งตอนนี้ ทาเรีย เขาโตแล้วเขา 3 ขวบครึ่งแล้ว บางทีเราก็คุยเล่นกับเขาถ้าหม่ามี้แก่ ทาเรีย จะดูแลหม่ามี้ไหม เขาก็บอกว่าไม่อยากให้เราแก่ (ร้องไห้) ทาเรีย กลัวหม่ามี้พูดไม่ได้ (เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาเห็น) แล้วเขาไม่อยากให้เราเป็น ฝนเคยเอาวีดีโอแม่ตอนที่แม่พูดได้เขาก็ถามว่าทำไมยายพูดได้ มันก็เลยแบบเราก็คิดว่าถ้าเรามีเร็วกว่านี้แม่ก็ยังได้พูดได้เล่นกับทาเรีย ซึ่งอาการคุณแม่ตอนนี้ โดยรวมคือ มีความสุขดีนะคะ เราก็ดูแลเขาให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ แต่ว่าเขาก็ถดถอยคือ..เขาไม่ค่อยรับรู้แล้วประสาทตอบรับเขาช้ามากเหมือนกับฝนถามแม่ว่าแม่จำฝนได้ไหมแม่ก็แค่มอง

ในทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตฝน ที่ได้เห็นคือ ฝนจะมีการเรียนรู้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะอะไรมาถึงตอนนี้ ณ จุดนี้โอเคเข้าใจแล้วต่อไปฉันจะต้องแบบแก้ไจมันหรือต้องทำให้มันดีกว่านี้ ?

น้ำฝน กุลณัฐ : ฝนบอกรักลูกทุกวันเลย แล้วก็บอกรักสามีทุกวันเลย ไม่รู้สามีเข้าใจหรือเปล่า เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเราจะอยู่กับเขาได้นานแค่ไหน แล้วก็แบบอยากทำอะไรก็ทำ อยากทำอะไรกับคนที่เรารักก็ให้รีบทำอันนี้เป็นที่สำคัญ และสิ่งหนึ่งเลยคือ ถ้าเราเข้าใจไม่ว่าแบบเป็นแฟนใหม่ แฟนเก่า แฟนอะไรสักอย่าง ฝนว่าเราไม่มีความจำเป็นต้องเกลียดกันก็ได้ค่ะ การให้อภัยเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วอีกอันหนึ่งที่ ฝน เชื่อเลยคือว่าศีล 5 คือ ช่วยนะคือ หมายความว่าเราเห็นใครทำอะไรไม่ดีกับเรา แล้วเราก็ไปทำไม่ดีกับเขากลับ อะไรที่ให้อภัยได้ก็ให้อภัยไปแล้วเราไม่ได้คิดว่าเราไปแย่กับใครวันหนึ่งเราก็จะได้สิ่งดีๆกลับมาเอง

สามารถชมคลิป ย้อนหลัง ได้ในรายการ CLUB FRIDAY SHOW ผลิตโดย CHANGE2561 ทางยูทูบ

น้ำฝน กุลณัฐ ช็อกลูกสาวติดโควิด 2 รอบ เครียดต่อร้องไห้เขียนพินัยกรรม หลังตรวจร่างกายพบเนื้องอกที่หน้าอก พร้อมเผยเตรียมออกจากวงการไปอยู่อเมริกาถาวรจริงไหม ?

นักแสดงและผู้จัดละครคนเก่ง น้ำฝน กุลณัฐ ที่วันนี้ขอควงลูกสาวคนสวย น้องทาเรีย มาเปิดใจเหตุการณ์สุดพีคลูกสาวติดโควิด 2 รอบ พร้อมเปิดใจครั้งแรก วินาทีพบก้อนเนื้อที่หน้าอก เครียดหนักถึงขั้นร้องไห้กอดลูก เขียนพินัยกรรมไว้เรียบร้อยแล้ว ผ่านทางรายการ คุยแซ่บShow ทางช่องOne31 ที่มี ธัญญ่า ธัญญาเรศ และ บูม สุภาพร เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

คนหาปลาแจงแล้ว! คลิปวงจรปิด ‘ส.ส.เต้’ อ้าง ‘แตงโม นิดา’ ลอยคอกลางแม่น้ำ
เอือมความมั่น ‘นางเอกหน้างอ’ เพจดังขอแฉ ฤทธิ์นางเอกร่างเพรียวที่ว่าแน่ ยังเบ้ปากยอมแพ้
แห่ฟ้อง! ‘ลิซ่า BLACKPINK’ มาไทย เจอพนง.สนามบินรุมในเวลางาน ทั้งที่แฟนคลับช่วยกันเว้นระยะ

น้ำฝน กุลณัฐ ช็อกลูกสาวติดโควิด 2 รอบ เครียดต่อร้องไห้เขียนพินัยกรรม หลังตรวจร่างกาย
ย้อนไปรอบแรกที่น้องทาเรียเป็นโควิด ตอนนั้นเป็นที่อเมริกาใช่ไหม ?

น้ำฝน : “เท้าความตั้งแต่แม่ก่อน แม่เป็นตั้งแต่ 22 พฤศจิกายน ปีที่แล้วที่ภูเก็ต หนีจากกรุงเทพฯ ไปภูเก็ต เพราะกรุงเทพฯ โควิดเยอะ ไปได้ที่ภูเก็ต 10 วันอยู่โรงพยาบาล ลูกก็อยู่เองกับแนนนี่ พอออกมาเราก็จองตั๋วไว้แล้วว่าเราจะเดินทางไปอเมริกาบวกกับว่าเราต้องขับรถไปกรุงเทพฯ ด้วย คือแบบมันหลายอย่างมาก พอบินไปอเมริกาได้สัก 3 วันญาติคุณสามีเป็นก่อน เราก็กักตัว 7-8 วัน เราตรวจไม่มีใครเป็นอะไร เราก็ขับไปซานฟรานไปเยี่ยมญาติ อยู่วันที่ 27-29 เช้าวันที่ 30 ขับรถกลับ LA ปรากฏว่าตี 4 คนนี้ปีนขึ้นมา มามี๊นอนด้วย แต่แปลกมากเราจับตัวเขาไม่ร้อน พอมานอนเสร็จปุ๊บอ้วกออกมา แล้วเขาหันมาบอกว่ามามี๊ให้กินเยอะไป เราก็ท่าไม่ดีแล้วก็เอาปรอทวัดไข้มาวัด 38.5 ก็แบบไม่รู้จะคิดอะไร นอนไปก่อนลูก เอาผ้ามาเช็ดจนไข้ลงประมาณ 6 โมงเช้า แม่ถึงเริ่มหลับ แฟนก็ถามสรุปจะเอายังไงจะอยู่นี่ดูอาการลูกก่อน หรือจะขับกลับ LA เมืองที่เราอยู่มันเลยจากซานฟรานไปอีก 2 ชั่วโมง ฉะนั้นมันเป็น 7 ชั่วโมง ก็เลยตัดสินใจว่าขับกลับ”

โฆษณา – อ่านบทความต่อด้านล่าง
“แต่ก่อนกลับ ตรวจ ATK ไม่ขึ้น ซึ่งตอนนั้นไข้เขาก็ยังไม่ได้ลงมาก 37.8 เราก็แบบเป็นไร พอถามเขาว่าจะกินข้าวไหมเขาก็ไม่กิน จะกินน้ำไหม เขาก็ไม่กิน ทีนี้แฟนกลัวว่าลูกจะขาดน้ำ ก็เลยให้กิน โอเคทาเรีย ถ้าทาเรียไม่กินข้าวไม่เป็นไรนะ ทาเรียต้องดื่มน้ำเรื่อย ๆ เราก็ขับกลับมาเรื่อย ๆ จำไม่ได้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง เขาพูดว่ามามี๊เจ็บหัว เราก็อยากเอาลูกมานอนที่ตัก สามีก็แบบอเมริกัน ๆ ไม่ได้อันตราย เราก็แบบสงสารไม่รู้จะพูดยังไง แล้วแฟนก็ถามว่าเธอหิวข้าวไหม ฝนกินไม่ลง ถามทาเรียหิวไหม เขาบอกเขาไม่กิน สามีหิว จะกินเบอร์เกอร์ ซึ่งช่วงกำลังหาร้านอาหารทาเรียอ้วกออกมาอีก ทีนี้เป็นแต่น้ำที่เพิ่งให้กินไป คิดในใจถ้าลูกเป็นรอบ 2 ได้แน่ ๆ ไม่รอดแน่”

แล้วมารู้ได้ยังไงว่าน้องติดโควิด ?

น้ำฝน : “หลังจากนั้น 3 วันผ่านไป คือมันไม่ได้แบบรู้ทันที วันนั้นผจญภัยหนักมาก ไม่ได้เข้าโรงพยาบาล แล้วไข้เขาก็ได้มา 39 มา 38 คือลงก็ไม่ลง ลงมาแค่ 37.9 จนท้ายที่สุดพอขับกลับมาถึงบ้านมันเหลือ 36.8 คืองงมาก พอถึงบ้านถามเขาว่าหิวข้าวไหม เขาบอกหิว จะกินข้าวต้มกับไข่ เดี๋ยวก่อนนะ 7 ชั่วโมงในรถมันคืออะไร”

ผ่านมา 3 วันน้องก็เริ่มอาการปกติแล้วถึงรู้ว่าเป็น ?

น้ำฝน : “ทาเรีย มีแค่ 24 ชั่วโมง ก็คือ 6 โมงเย็นของวันนั้น เขาสามารถทานข้าวได้ แม่ก็เริ่มโล่งใจแล้ว ก็เลยโทรมาคุยกับโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ คนคงสงสัยว่าทำไมถึงโทรมาคุยกับโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ เพราะคุณสามีไม่ยอมให้พาลูกไปโรงพยาบาล เขาบอกว่ามันแพงมาก คือเราไม่ได้มีประกันที่อเมริกา การที่จะไปหาหมอเริ่มแรกก็ 1,000 เหรียญเลย ก็เท่ากับ 33,000 บาท แค่พบหมอยังไม่รักษา แฟนบอกรอดู 2 วัน ฝนก็แบบ เห้ย…เราไม่ชิน อยู่เมืองไทยอะไรก็สะดวกไปหมด ก็เลยตัดสินใจโทรกลับมาคุยกับหมอที่โรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ หมอก็แนะนำนู่นนี่นั่น เสร็จปุ๊บเขาก็ไม่มีไข้เลย แล้วไข้เขากลับมาอีกทีตอนตี 2 คือแบบ 38 เลยนะ แล้วมาลงตอนตี 4 แล้วก็หายไปเลย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

แต่ก็รู้ว่าเป็นโควิด ?

น้ำฝน : “ใช่ นั่นคือวันที่ 30 วันที่ 31-1 กำลังขับรถพาเขาไปเล่นที่บ้านญาติที่เป็นคนแรก ญาติที่ซานฟรานโทรมาทางนั้นเป็นบวก เราก็แบบไม่รอดแน่ ปรากฏว่ารอด สงสัยเราคงเพิ่งเป็น”

แล้วทาเรียมาเจอว่าเป็นบวกวันไหน ?

น้ำฝน : “หลังจากนั้นเราไม่ได้ตรวจ เราก็เดาแล้วว่าลูกต้องเป็น แล้วบวกกับสถานการณ์อเมริกาตอนนั้นคือระบาดหนักมาก ATK หมดตลาด ถ้าจะซื้ออันละ 20 เหรียญจากที่เคยแจกฟรี รู้ผลว่ามีคนเป็นวันที่ 1 ทาเรียได้คิว PCR วันที่ 12 จะพาไปตรวจทำไมวะ คือประชากรเขาเยอะ แล้วเขาเป็นแบบวันละแสนคน แล้วมันไม่พอ แล้วเราพก ATK จากประเทศไทยไปเหลืออยู่ 3 อัน เราเลยตัดสินใจตรวจให้ลูกในเดย์ 5 ถึงขึ้นบวก แล้วจะพาไป PCR ตอนนั้นคือเสียเงินแล้ว ไม่ฟรีสำหรับเขา”

รอบ 2 เป็นมายังไง ทำไมติดอีกรอบ ?

น้ำฝน : “ทาเรียเป็นรอบ 2 ประมาณ 2 เดือน”

ไปติดที่ไหน ?

น้ำฝน : “ไม่รู้ รอบ 2 ติดที่เมืองไทย เราไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เราทุกคนก็ใช้ชีวิตไปตามปกติ มารู้สึกตัวอีกทีในคืนวันอาทิตย์ ลูกปีนมานอนด้วยอีกแล้ว แม่ก็จะคลำก่อน มันดีกว่าปรอทอีกอะ ไม่ปกติ น่าจะ 37 ไม่ถึง 38 เราก็เลยให้ลูกนอนตรงกลาง แม่เอาผ้าห่มคลุมโปง พอตื่นเช้าขึ้นมายังอุ่นอยู่ ก็เลยเรียกแนนนี่บอกว่า เอาปรอทน้องขึ้นมา แล้วเอาแมสก์ขึ้นมาให้พี่ด้วย ก็ขึ้น 37.8 เสร็จแล้วเอา ATK ที่มันแพง ๆ ที่บ้านมาตรวจเลยแล้วกัน เพราะว่าโรงเรียนอาจจะไม่ชัวร์ แล้วก็ขึ้นเลย 2 ขีด เสร็จแล้วทุกคนในบ้านก็ต้องไล่ตรวจ ปรากฏว่าคนที่โชคดีไปคือทาเรียกับแนนนี่”

รอบ 2 รักษายังไง ?

น้ำฝน : “รอบ 2 ด้วยความที่ลูก 37.8 เราตรวจปุ๊บลูกเป็นบวก ตกใจ แนนนี่ตรวจ แนนนี่ก็มือเย็น ลืมทาเรียไปเลยว่ามีไข้ แม่ตรวจ พ่อตรวจ ทุกคนตรวจ ตื่นเต้นกันหมด ลืมให้ยาลดไข้ นึกได้ตอน 9 โมงวัดไข้ทาเรียอีกที 36.8 แล้วก็ไม่มีอะไรเลย”

รอบ 2 ได้ไป PCR ไหม ?

น้ำฝน : “ไป ๆ วันนั้นก็พาไปโรงพยาบาล เพราะว่าเราต้องใช้ผล PCR เนื่องจากยืนยันกับโรงเรียน แล้วก็ใบรับรองแพทย์ในการกลับไปที่โรงเรียน”

แล้วที่บ้านอยู่กันยังไง ?

น้ำฝน : “ที่บ้านเป็นคอนโด แต่เป็นคอนโด 2 ชั้น มี 2 ห้องนอน เรา สามี แล้วลูกนอนห้องข้างบน ในเมื่อลูกกับแนนนี่เขาได้รับโชค เขาก็เลยอยู่ด้วยกันข้างล่าง เราก็บอกทาเรียห้ามขึ้นไปชั้น 2 นะลูก เขาจะแฮปปี้มาก เราจะใช้ไอแพดเป็นเครื่องล่อ จากเด็กที่ไม่เคยดู ก็จะได้ดูทุกวัน ส่วนฝนอยู่ชั้นบน สามีนอนโซฟาข้างล่าง แต่ว่าเขาไม่ได้อยู่บ้านทั้งวันเหมือนเรา เราตื่นเช้ามาไปออฟฟิศ ซึ่งมีเขาคนเดียว ตกเย็นกลับมาก็มาเล่นกับลูก เล่นกันแบบเว้นระยะ ฝนอะเว้นระยะ แต่สามีไม่เว้น ใส่แมสก์แล้วนั่งกับทาเรียอย่างนี้เลย ก็ไม่เป็น เขาบอกว่าเธอไม่เข้าใจหรอก คนที่เคยเป็นแล้ว กับได้วัคซีนเยอะ ฝนกับแฟนได้ไปคนละ 4 เข็มแล้ว อย่างน้อยมันค่อนข้างที่จะมีภูมิประมาณนึง เขาบอก เขาอ่านมาแล้วเขาก็มั่นใจของเขา พอเขาเล่นกับลูกเสร็จเขาก็ขึ้นไปอาบน้ำ แต่อิแม่นั่งเกาะบันไดดูลูกอยู่”

ช่วงนั้นก็มีเรื่องเครียดอีก ฝนไปตรวจร่างกาย แล้วไปเจอเนื้องอกที่หน้าอก ?

น้ำฝน : “ใช่ ไทม์มิ่งมันเป็นประมาณว่าหลังจากกลับมาจากอเมริกา เราก็ไปตรวจร่างกาย เพราะไม่ได้ตรวจมา 2 ปีแล้ว เนื่องจากว่าจิ้มทำลูกอยู่ก็เลยไม่ได้ไปตรวจเลย พอตรวจเห็นหน้าหมอปุ๊บเราก็รู้สึกเลยว่าท่าไม่ดี พอตรวจเสร็จมันก็ต้องไปฟังผล หมอพูดประมาณว่ามันมีก้อนเนื้อตรงหน้าอก หน้าตามันแบบหย่อน ๆ ถ้าซีสต์มันจะกลม หรือถ้าเป็นก้อนเนื้ออะไรสักอย่าง มันก็จะเป็นกลม ๆ เกลี้ยง ๆ เขาจะไม่สนใจ พอเขาบอกเหมือนเห็นเป็นเนื้อหน่อย ๆ แล้วเหมือนเห็นเส้นเลือดไปเลี้ยงก้อนนั้น กลับบ้านก็เสิร์ชกูเกิลแบบเละเทะเลย หมออยากให้เจอหมอทรวงอกเดี๋ยวนั้นเลย เราก็เลยแบบท่าไม่ดีแล้ว”

ธัญญ่า : “โทรมาทั้งวัน จะเป็นมะเร็งป่ะวะ จะตายไหม ฉันตายไม่ได้ลูกฉันยังเล็ก เราก็เลยบอกฝนอย่าเพิ่งคิดอะไรไปก่อน มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ ความเครียดนี่แหละจะทำให้เป็น พี่ก็บอกให้รอเจอหมอก่อน ให้เขาตัดชิ้นเนื้อมาตรวจให้มั่นใจ อย่าไปเครียดก่อน”

น้ำฝน : “พูดง่ายไง เราก็แบบคิด แบบเห็นแต่หน้าลูกลอยมาเลยนะ นั่งจดพาสเวิร์ดทุกอย่างในโทรศัพท์ มีอะไรอยู่ที่ไหนบ้าง นู่นนี่นั่น เดี๋ยวจะส่งให้แฟน แล้วแบบเหมือนทำพินัยกรรม โอ๊ย…ฉันจะทำยังไง อาการหนักอะ”

เห็นว่าเข้าไปกอดลูกร้องไห้ ?

น้ำฝน : “กอดลูกแล้วน้ำตาไหล กลัวมากไม่อยากเป็น เพื่อนก็บอกว่าเป็นมันรักษาหาย รู้ว่าหายกูก็ไม่อยากเป็น แล้วมันก็เครียด บวกกับกว่าจะเจอหมอก็อีก 4 วัน พอเจอหมอ หมอก็บอกว่าโอกาสที่จะเป็นมัน 20-30 ก็ยังดูเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ไม่เยอะ แต่เราไม่สามารถทำไบออฟซี่ เอาชิ้นเนื้อไปตรวจได้ทันที เพราะเนื่องจากเรากินยาวิตามินฟิชออยล์มันจะทำให้เลือดเราไม่แข็งตัว ก็ต้องอดอันนั้น 7 วันกว่าจะไบออกซี่ได้ แล้วคิดดู 7 วันนั้น”

เห็นว่าตรวจไบออกซี่หาค่ามะเร็งมันทรมานมาก ?

น้ำฝน : “มันทรมานจิตใจดีกว่าไบออฟซี่คือการเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ เขาไม่ได้วางยานอนหลับ ฉีดยาชา แล้วตำแหน่งที่เป็นคือหน้าอก ก็เลยต้องนอนตะแคงแล้วก็ยกแขน หมอก็จะเอาผ้ามาปิดหน้าเรา ฉีดยาชา เราไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่นางพยาบาลเขาจะมาอธิบายให้เราฟังก่อนที่เราจะเข้าไปว่ามันจะเป็นเข็มยาว ๆ ทิ่มเข้าไปในนม เสร็จแล้วพอมันตัดมันจะมีเสียงดัง พอตอนตัดมันกระแทกตัว คือตัดประมาณ 10 ชิ้น ถามว่ากลัวที่เขาทำไหม ไม่กลัว แต่แบบน้ำตามันไหล กลัวจะเป็นอะไร แต่หมอที่ทำ ทำให้เราใจชื้นขึ้นมา เพราะเขาพูดบอกว่าหมอว่ามันดูไม่ใช่นะคะ”

แค่หมอวินิฉัย เห็นว่าพี่เตรียมวิธีรักษา ?

น้ำฝน : “ระหว่างที่รอผล 7 วันกว่าจะได้ไบออฟซี่ กว่าจะรอผลไบออฟซี่ออก ไปหาหลายหมอมาก หมอดู หมอจีน คือทุกหมอว่ามันใช่ไหม ทุกคนก็บอกว่ายังไม่ใช่”

ที่เราเป็นห่วงคือทาเรียจะมีแม่ใหม่ไม่ได้ แต่สามีจะมีเมียใหม่ได้ ?

น้ำฝน : “เราคิดอย่างนี้นะ ถ้าสมมติว่าเราเป็นอะไรไป เวลาเราคุยกับเพื่อนมันก็คิดขึ้นมาเองว่า ถ้าเราเป็นอะไรไป อย่างน้อยสามีก็มีแฟนใหม่ได้ อีก 10 คนเขาก็มีได้ แต่ทาเรียเขาคงหาแม่ใหม่ไม่ได้แล้ว แม่เรามีได้แค่คนเดียว เราก็รู้สึกว่าเหมือนเรายังไม่พร้อม เขายังเล็กอยู่ ใจแบบอยากอยู่กับเขาให้เขาอายุ 30 ได้ไหม มันก็หดหู่ นั่งท้อแท้ ข้าวก็กินไม่ลง”

ปีหน้าทาเรีย 5 ขวบจะต้องย้ายไปอยู่อเมริกาแล้ว ?

น้ำฝน : “ไม่ใช่ปีหน้า ปีนี้ เชื่อไหมว่าสามีถามบ่อยมาก สรุปแล้วเราเคยคุยกันว่าทาเรีย 5 ขวบแล้วเราจะย้ายแล้วยังไงเราก็เงียบ ฉันว่าไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะอยู่ดี ๆ มาคุยแล้วมาแพคของไป มันคงมีอะไรที่ต้องจัดการเยอะ แล้วความนอยด์ฉันจะไปอยู่อเมริการอดเหรอ ไม่น่ารอด หาหมอก็ไม่ได้ คืออยู่ได้แหละ แต่มันต้องสตรองมาก แล้วอยู่นั่นเพื่อนก็ไม่มีให้นอยด์ด้วย”

ตอนฝนไปอยู่ 1-2 เดือนชีวิตเป็นยังไงบ้าง โอเคไหม ?

น้ำฝน : “เหนื่อยมาก เหนื่อยฉิบหาย”

เห็นว่ามีทะเลาะกับสามีด้วย ?

น้ำฝน : “ไม่มีพี่เลี้ยง คือไปมากี่ครั้งไม่รู้ มีพี่เลี้ยงเต็ม ๆ ครั้งเดียว สบายใจมาก ตื่นเช้ามาได้ออกไปวิ่ง ไปซุปเปอร์มาร์เก็ต เหมือนอยู่เมืองไทย เวลาไปเองมันอยู่อย่างนี้ มัน 24 ชั่วโมง ตัวเขาก็แอบติดนิสัยว่าอยู่เมืองไทยแล้วมีพี่เลี้ยง เขาก็จะมีความเคยตัวอะไรบางอย่าง เอาจริง ๆ ฝรั่งมาอยู่เมืองไทย สปอยด์เสียนิสัยทุกคน เพราะว่าที่นี่อะไรก็สบาย บางทีเขาชอบบ่น ๆ อย่างเดียว เราไปเมืองนอก เราไปอเมริการู้ใช่ไหมว่าเจ็ตแล็กมันทรมานมาก เขาก็พยายามปรับตัวนี้ให้เป็นเวลาปกติให้เร็วที่สุด มันปรับได้ไหม มันยากมาก เนี่ย 9 โมงแล้ว พวกเธอเพิ่งตื่น”

คิดว่าปีนี้ต้องย้ายไปอยู่อเมริกาไหม ?

น้ำฝน : “ไม่ชัวร์ 50 : 50 ไม่ปีนี้ก็ปีหน้า”

‘หมิว’ เจอผีตามหลอนเอาชีวิต ล่าสุดคนทักจะทำให้รถแหกโค้ง สุดทนขอด่าสาป อีผีตอแห-
‘แม่ภนิดา’ ไม่เชื่อคลิป ‘แตงโม’ ลอยคอ ยังรอ ‘ปอ’ ออกมาพูด มั่นใจเขาคือสุภาพบุรุษ
นางเอกหน้าใส โตแล้วเซ็กซี่ได้ ลุคนี้หันหลังปุ๊บร้องโอ้โห แห่ซูมกระจกใครถ่าย?

VDO

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *